วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง

สบู่สมุนไพร

Cr.http://www.yesspathailand.com/images/column_1424659284/927-2-480.jpg

Cr.http://www.yesspathailand.com/images/column_1424659284/927-3-480.jpg


สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับไขมันจากพืชหรือสัตว์ ปัจจุบัน สบู่มีการใช้ส่วนผสมชนิดต่างๆเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ให้มีลักษณะพิเศษ ตรงตามความต้องการใช้งานที่หลากหลายขึ้น

ชนิดของสบู่
1. สบู่ก้อนขุ่น
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่รู้จัก และใช้กันมานานจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาวขุ่นหรือมีสีต่างๆ ตามสีของสารเติมแต่ง เช่น สีเขียว สีชมพู สีม่วง เป็นต้น สบู่ชนิดนี้ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ผลิตได้จากปฏิกิริยาข้างต้นเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ที่ให้คุณสมบัติเป็นก้อนแข็ง ขาวขุ่น ให้ฟองมาก
Cr.http://www.drink-dew.com/wp-content/uploads/2015
/09/%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%88.jpg
2. สบู่ก้อนใส
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีลักษณะก้อนใสหรือค่อนข้างใสตามสัดส่วนของกลีเซอรีนที่ผสม ก้อนสบู่จะมีลักษณะอ่อนกว่าสบู่ก้อนขุ่น และสามารถทำให้เกิดสีใสต่างๆตามสารให้สีที่เติมผสม สบู่ชนิดนี้จะให้ฟองค่อนข้างน้อยกว่าสบู่ก้อนขุ่น เนื่องจากมีส่วนผสมของกลีเซอรีนเป็นส่วนใหญ่ สารตั้งต้นที่ใช้อาจเป็นกลีเซอรีนเหลวหรือกลีเซอรีนก้อน (กลีเซอรีนเหลว+เอทิลแอลกอฮอล์) ร่วมด้วยกับสารเติมแต่งชนิดต่างๆ

Cr.https://sashing.com/image/catalog/dr-adorable/2-lb-clear
-glycerin-melt-and-pour-soap-base-organic-B00BSYDC6G.jpg
3. สบู่เหลว
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมทำให้เนื้อสบู่เหลว สีสีสันต่างๆตามสารเติมแต่ง สบู่ชนิดนี้ใช้สารตั้งต้นจากเกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากปฏิกิริยาข้างต้นเหมือนชนิดสบู่ก้อนขุ่น แต่ต่างกันที่จะใช้ด่างเข้มข้นโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์แทนโซเดียมไฮดรอกไซด์ เพราะจะให้เนื้อสบู่อ่อนตัวดีกว่า


Cr.http://wm.thaibuffer.com/o/u/patcharin/Women/skin/soap1.jpg
ลักษณะของสบู่ที่ดี
1. มีความสามารถทำความสะอาดได้ดี
2. มีฟองในระดับที่เหมาะสม
3. มีความเป็นด่างน้อยในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหรือทำลายชั้นไขมันของผิว
4. สบู่ก้อนไม่มีเนื้อเหลว แตกหักง่าย
5. ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นหอมน่าใช้ และมีคุณสมบัติเฉพาะในบางกรณี เช่น สบู่ฆ่าเชื้อ
สารเคมีที่ใช้ทำสบู่
1. ไขมัน/น้ำมัน เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสารตั้งต้นสบู่ ไขมันหรือน้ำมันที่ใช้อาจได้จากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ส่วนไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น ไขมันโค กระบือ แกะ แพะ เป็นต้น คุณภาพของน้ำมันที่ได้จากพืช และสัตว์จะมีผลต่อคุณภาพของสบู่ เกล็ดสบู่ (soap)ที่ได้จากน้ำมันพืชจะให้ลักษณะขาวเนียน และกลีเซอรีนจะค่อนข้างใสกว่าน้ำมันจากสัตว์ นอกจานั้น เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากน้ำมันจากพืชจะมีกลิ่นหืนน้อยกว่าน้ำมันจากสัตว์ อีกทั้งน้ำมันจากพืชยังเป็นวัตถุดิบที่หาง่าย และราคาถูกกว่า
2. ด่างเข้มข้น เป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ทำปฏิกิริยากับไขมันธรรมชาติ ด่างเข้มข้นที่นิยมใช้ คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งจะได้เนื้อสบู่สีขาวทึบ เนื้อก้อนแข็ง ให้ฟองมาก นิยมนำมาทำสบู่ก้อนทึบ และอีกชนิดหนึ่ง คือ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งจะได้สบู่ในลักษณะเดียวกัน แต่เนื้อสบู่มีความอ่อนตัวได้ดีกว่า นิยมนำมาทำสบู่เหลว
3. สารเติมแต่ง เป็นสารเคมีสำหรับปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ เช่น สี น้ำหอม สมุนไพร สารป้องกันความชื้น สารลดความเป็นด่าง สารลดแรงตึงผิว สารทำให้ฟองคงตัว สารเพิ่มความแข็ง สารป้องกันการออกซิเดชัน สารบำรุงผิว สารฆ่าเชื้อ เป็นต้น เป็นสารเติมแต่งที่นิยมผสมในสบู่เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในแต่ละอย่าง
วิธีการทำสบู่
การทำสบู่ในระดับอุตสาหกรรม และระดับครัวเรือน ในกรรมวิธีหลักๆจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ในทางอุตสาหกรรมจะมีกระบวนการที่ละเอียด และซับซ้อนกว่า โดยในภาคอุตสาหกรรมอาจเตรียมสบู่สารตั้งต้นเองหรือสั่งซื้อจากอีกแหล่งที่ทำหน้าที่รับผลิต ทั้งที่เป็นเกล็ดสบู่ (soap) เพื่อผลิตสบู่ก้อนขุ่น หรือสบู่เหลว และกลีเซอรีน เพื่อผลิตสบู่ก้อนใส
1. การผลิตสบู่ในภาคอุตสาหกรรม
สำหรับภาคครัวเรือนสามารถผลิตได้ทั้งสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว โดยนิยมสั่งซื้อเกล็ดสบู่ (soap) และกลีเซอรีน จากแหล่งจำหน่ายโดยไม่ต้องเตรียมเอง
ขั้นตอนการผลิตสบู่ภาคอุตสาหกรรม
– การฟอกสีน้ำมันวัตถุดิบเพื่อให้น้ำมันมีสีใส และไม่มีกลิ่นหืน
– การต้มสบู่ เพื่อให้ได้เกล็ดสบู่ และกลีเซอรีน ด้วยการเติมด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
– ขั้นตอนการแยก โดยการแยกเกล็ดสบู่ และกลีเซอรีนออกจากกัน
– ขั้นตอนการฟิต เป็นการนำเอาเกล็ดสบู่เข้าหม้อฟิตเพื่อกำจัดเกลือที่ตกค้างในเกล็ดสบู่
– การระเหยน้ำ ด้วยการเป่าแห้งเกล็ดสบู่เหลวเพื่อกำจัดน้ำที่ผสมอยู่ และเพื่อให้เกล็ดสบู่แห้งจับตัวเป็นก้อน เรียกว่า สบู่ดิบ
– นำสบู่ดิบมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ ภายใต้ความร้อนจนสารทั้งหมดละลายรวมตัวกัน และผ่านเข้าเครื่องอัดความหนาแน่นเพื่อให้สบู่เป็นก้อนที่คงตัว และสม่ำเสมอ
– เมื่อสบู่ที่ออกจากเครื่องอัดความหนาแน่นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการรีดให้เป็นแท่งยาว และตัดด้วยเครื่อง
– ก้อนสบู่ที่ตัดเป็นก้อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการปั้มบนแม่พิมพ์ และตีตรา เข้าสู่ขั้นตอนการบรรจุในขั้นสุดท้าย
2. การผลิตสบู่สมุนไพรภาคครัวเรือน
2.1 สารตั้งต้น
การทำสบู่ในภาคครัวเรือนนิยมผลิตสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว ซึ่งจะใช้สารตั้งต้นที่แตกต่างกัน โดยสามารถสั่งชื้อได้ตามอินเตอร์เน็ตหรือร้านขายส่งสารเคมีทั่วไป
– สบู่ก้อนขุ่น ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์
– สบู่ก้อนใส ใช้สารตั้งต้น คือ กลีเซอรีนก้อน
– สบู่เหลว ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
วิธีการเตรียมสารตั้งต้น
วัสดุ และสารเคมี:

 1. สบู่ก้อนใส (Transparent soap) หรือสบู่กลีเซอรีน หรือ เกล็ดสบู่แข็ง           1/2 กก.
 2. เกลือแกง(Sodium chloride)                                                                       1 ช้อนชา
 3. น้ำหมักชีวภาพมะเฟือง                                                                                1/4 ถ้วยตวง
 4. น้ำผึ้ง                                                                                                           1/8 – 1/4 ถ้วยตวง
 5. ขมิ้นชนิดผง                                                                                                 1 ช้อนโต๊ะ
 6. น้ำหอมกลิ่นตามชอบปริมาณเล็กน้อย

วิธีทำ
 1. เตรียมพิมพ์ โดยการทาพิมพ์ด้วยวาสลินเพื่อให้แคะสบู่ออกจากพิมพ์ได้ง่าย(อาจใช้พิมพ์วุ้นพลาสติก       หรือกล่องพลาสติกก็ได้ เมื่อสบู่แข็งตัวแล้วจึงนำมาตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ)
 2. หั่นสบู่ก้อนใสให้เป็นชิ้นเล็กใส่ในภาชนะที่ทนความร้อน นำไปตุ๋นให้ละลายเป็นของเหลว เมื่อสบู่              ละลายแล้ว นำลงจากเตา (การตุ๋นสบู่ คือการทำให้สบู่ร้อนด้วยไอจากน้ำเดือด โดยใช้หม้อ 2 ใบ ใบ        ล่างใส่น้ำตั้งบนเตาไฟให้เดือด ใบบนใส่สบู่แล้ววางซ้อนไว้บนหม้อใบล่าง ที่ทำอย่างนี้เพื่อไม่ให้เนื้อ        สบู่ไหม้)
 3. เตรียมสมุนไพรโดยผสมน้ำหมักชีวภาพมะเฟือง เกลือแกง น้ำผึ้ง และขมิ้นผง คนให้ละลายเข้ากัน             แยกไว้ในภาชนะต่างหาก(ฤดูร้อน ผิวไม่แห้งมาก ควรลดปริมาณน้ำผึ้ง อาจใส่เพียง 1/8 ถ้วยตวง               สำหรับ ผู้ที่ผิวแห้งหรือใช้ในฤดูหนาว ให้ใส่น้ำผึ้ง 1/4 ถ้วยตวง ) ห้ามใส่สมุนไพรที่เป็นของเหลวเกิน       กว่าส่วนที่กำหนดเพราะสบู่จะไม่แข็งตัว
 4. เทน้ำสมุนไพรที่เตรียมไว้ในข้อ 3 ลงในสบู่ที่ละลายแล้ว คนเบาๆให้ส่วนผสมเข้ากัน พอสบู่อุ่นลงสัก        เล็กน้อยจึงใส่น้ำหอม คนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้วหยอดสบู่เหลวลงในพิมพ์
 5. ปล่อยทิ้งไว้จนสบู่แข็งตัวดีจึงแคะออกจากพิมพ์ เก็บสบู่ไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เก็บภาชนะไว้ในที่ไม่         ร้อนและแสงแดดส่องไม่ถึง
2.2 สมุนไพร
 สมุนไพรที่นำมาเป็นส่วนผสมของสบู่มีคุณประโยชน์ต่อผิวดังต่อไปนี้ 

– ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ได้แก่ ว่านหางจระเข้ ส่วนที่ใช้ วุ้นจากใบ การนำมาใช้ ตัดเอาช่วงโคนใบ ล้างน้ำจนยางเหลืองหมด แช่ทิ้งไว้ 15 นาที ปอกเปลือกออกแล้วล้างวุ้นให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบาง นำน้ำที่ได้มาใช้ กล้วย ส่วนที่ใช้ ผลสุกนำไปตากแห้ง การนำมาใช้ นำผลกล้วยสุกหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปใส่เครื่องบดหรือใช้ครกตำบด ให้เป็นผงละเอียด มะละกอ ส่วนที่ใช้ ผล การนำมาใช้ นำผลสุกปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด จนเป็นน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 2 ครั้ง ส้ม ส่วนที่ใช้ น้ำคั้นจากผล การนำมาใช้ คั้นน้ำจากผล แล้วกรองให้สะอาด รำข้าว ส่วนที่ใช้ รำแห้ง การนำมาใช้ นำรำแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 

 มีกรดบำรุงผิว ได้แก่ ส้มป่อย ส่วนที่นำมาใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบส้มป่อยล้างให้สะอาดหั่นหยาบๆ แล้วนำไปต้มในน้ำ มะขาม ส่วนที่ใช้ ฝักสุก การนำมาใช้ นำมาขามฝักสุกมากระเทาะเปลือกออก นำไปต้มกับน้ำ มะนาว มะเฟือง มะดัน มะไฟ สับปะรด ส้มแขก ส่วนที่ใช้ ผลสด การนำมาใช้ คั้นเอาน้ำจากผลสดไม้ต้องนำไปต้ม เอาไปใช้ได้เลย ใบบัวบก ส่วนที่ใช้ ใบสด การนำมาใช้ ใช้วิธีสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ขมิ้นชัน ส่วนที่ใช้ หัว การนำมาใช้ ใช้วิธีสกัดด้วยแอลกอฮอล์หรือนำมาบดเป็นผงแห้ง 

 รักษาผิวหนังผื่นคัน ฝรั่ง ส่วนที่ใช้ ใบที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป การนำมาใช้ นำใบมาตากให้แห้ง แล้วบดเป็นผงหรือนำใบตากแห้งแล้วมาต้ม กรองเอาแต่น้ำ ทับทิม, มังคุด ส่วนที่ใช้ เปลือก การนำมาใช้ นำเปลือกไปตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง หรือนำเปลือกไปตากแล้วมาต้มกรองเอาแต่น้ำ สะระแหน่ ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบตากแห้งแล้วบดเป็นผง หรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ กานพลู ส่วนที่ใช้ ดอก การนำมาใช้ นำดอกไปตากแห้ง แล้วนำไปสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ฟ้าทลายโจร เสลดพังพอน ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบแห้งมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ เหงือกปลาหมอ สำมะงา ส่วนที่ใช้ ใบแห้ง การนำมาใช้ นำใบแห้งมาต้มกับน้ำกรอง ใบหนาด ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบแห้งมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ว่านหางช้าง ส่วนที่ใช้ เหง้า การนำมาใช้ ล้างให้สะอาดนำมาต้มกับน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 


การเตรียมสมุนไพร สามารถทำได้โดย
– การทำเป็นผง ด้วยการตากแห้ง และนำมาบดให้เป็นผงละเอียด และนำตากให้แห้งอีกครั้ง
– การสกัดเป็นสารละลาย ด้วยการบดสมุนไพรให้ละเอียด และนำมาต้มสกัดหรือนำมาแช่สกัดด้วย        

   แอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ
สบู่สมุนไพรควรเติมผงสมุนไพรประมาณร้อยละ 1-5 ของน้ำหนักสบู่ และสมุนไพรที่ได้จากการต้มสกัด ควรเติมประมาณร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักสบู่
2.3 สารเติมแต่ง
– น้ำหอม เป็นสารเติมแต่งที่นิยมเติมในการทำสบู่ สามารถใช้ได้ทั้งน้ำหอมทั่วไปหรือน้ำหอมสำหรับสบู่
– ผงสี สารลดความกระด้าง สารรักษาความชื้น สารป้องกันการหืน ซึ่งสารเหล่านี้อาจไม่ใช้ก็ได้หากไม่สะดวกที่จะหาซื้อ
2.4 ขั้นตอนการทำสบู่
– นำเกล็ดเกล็ดสบู่ใส่หม้อภาชนะ ตั้งไฟอ่อนๆให้ละลายจนหมด
– เติมสมุนไพร หากเป็นผงประมาณไม่เกิน 50 กรัม หากเป็นน้ำสกัดไม่เกิน 100 ซีซี
– เติมสารเติมแต่ง เช่น น้ำหอม ผงสี และอื่นตามที่หาซื้อได้ พร้อมคนให้ละลายเข้ากัน
– เทสารละลายสบู่ในแม่พิมพ์ และรอจนแห้งตัวก็จะได้สบู่สำหรับใช้งาน
Cr.http://www.siamchemi.com/สบู่/    
    http://www.organicthailand.com/webboard_352697_1279_th?lang?lang=th 

ตัวอย่างสบู่สมุนไพร "สบู๋ดอกอัญชัน"
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=2GtOhnlyRxA
                     

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่3 พ.ร.บ คอมพิวเตอร์

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ ปี2558


Cr.http://www.slideshare.net/LittleOrawee/2558-51792864


Cr.http://nirundon.com/4me/พ-ร-บ-คอมพิวเตอร์-2559.html


ความรู้เรื่อง พ.ร.บ คอมพิวเตอร์
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=OdMqYTnBmX8






ใบงานที่2 ความรู้เรื่องบล็อก



Cr.http://www.theblogstarter.com/wp-content/uploads/2016/01/start-your-blog-4-
steps.png

Cr.http://editorialprado.com.mx/wp-content/uploads/2016/06/Blogging.png

บล็อก (Blog) คืออะไร
             บล็อก (Blog) คือ เว็บไซด์รูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับการเขียนไดอารี่ 
     หรือ บันทึกส่วนตัว ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเราใช้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน คำว่า Blog มาจากคำเต็มว่า Weblogซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึง การบันทึกข้อมูล (Log) บน เว็บ (Web) นั่นเอง โดยผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพ จะถูกเรียกกันว่า บล็อกเกอร์ (Blogger) จุดเด่นที่สำคัญของ Blog คือ จะมีระบบที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ โดยผ่านทางระบบ Comment ของบล็อก Blog

     ส่วนประกอบของ blog
บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วนสำคัญ คือ
1. หัวข้อ (Title) หรือ ชื่อบทความ (ฺ Entry Title) คือ ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก

2. เนื้อหา (Post หรือ Content) อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรือ อนิเมชั่น เป็นต้น โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะรวมเป็นส่วนเนื้อหาของบทความ
3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time) เป็นวันที่และบางทีอาจมีเวลากำกับอยู่ด้วย ตัววันที่และเวลานี้ จะเป็นตัวบอกว่าบทความในบล็อกนั้นเขียนขึ้นมาเมื่อไหร่ แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ บางครั้งอาจมีวันเวลาระบุอยู่ในส่วนของ comment ด้วย ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่า comment นั้นเขียนเข้ามาเมื่อไหร่เช่นกัน
           นอกจากนี้อาจจะยังมีส่วนประกอบย่อยๆอีก ซึ่งแล้วแต่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมา เช่น
- ชื่อผู้เขียน (Blog Author) บางบล็อก อาจมีการระบุชื่อผู้เขียนไว้ในบล็อกด้วย โดยตำแหน่งที่จะใส่ชื่อผู้เขียนนั้น สามารถไว้ที่ตำแหน่งใดก็ได้ เช่นด้านข้างของหน้าบล็อก (sidebar) หรืออยู่ในตัวบทความ
- ความคิดเห็น (Comment) เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกความคิดเห็นให้กับบล็อกนั้น ๆ หรืออ่านความเห็นที่มีคนเขียนเข้ามา
- ปฎิทิน (Calendar) บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย โดยในปฎิทินนั้นสามารถคลิกตามวันที่ เพื่ออ่านบทความของวันที่นั้นๆ ได้ 
- บทความย้อนหลัง (Archives) บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดยเจ้าของบล็อก โดยบล็อกแต่ละแห่งอาจจัดเรียงบทความย้อนหลังไม่เหมือนกัน เช่นจัดเรียงรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือจะ list บทความทั้งหมดออกมาเลยก็ได้
- ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links) เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่ง โดยบล็อกแต่ละแห่ง อาจมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นหลากหลายเว็บ บางครั้งเราสามารถเรียก link พวกนี้ว่า blogroll
- RSS หรือ XML ตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับ Blogware หรือ Blog Host ที่เราเลือกใช้ เช่น WordPress หรือ MovableType นั้นจะมี RSS ลิงค์ไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ โดยเจ้า RSS Feed นี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงบทความของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โปรแกรมช่วยอ่าน Feed ได้ด้วย บางครั้งนักเขียน Blog คนอื่น ก็อาจใช้ RSS Feed นี้เพื่อประโยชน์ในการดึงข้อมูลไปแสดงในเว็บ หรือบล็อกของตนได้


Blog กับ Website ต่างกันอย่างไร?
- เว็บไซด์ทั่วไปจะมีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบ ดีไซน์ เพราะเราต้องสร้างเองทั้งหมด (ดังนั้นจะเลือกดีไซน์ยังไงก็ได้)
- แต่ Blog จะมีการดีไซน์ในรูปแบบเฉพาะเรียกว่า Blog Template ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่ยังคงมีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างตายตัว ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้มากตามใจชอบอย่างเว็บไซด์
- การสร้างเว็บไซด์ จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากพอสมควร ทั้งในส่วนของภาษาคอมพิวเตอร์, โปรแกรมคอมติวเตอร์ต่างๆ ความรู้เบื้องต้นในเรื่องของ Network เป็นต้น แต่ Blog เพียงรู้หลักในการใช้เล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถสร้างเว็บไซด์ได้อย่างง่ายดาย

Blog กับ เว็บไซด์สำเร็จรูป ต่างกันอย่างไร?
- Blog และ เว็บไซด์สำเร็จรูป (Instant Website) เป็นเว็บไซด์ที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ที่เรียกว่า เว็บไซด์ในรูปแบบ CMS  (Content Management System) คือจะเน้นในการจัดการเนื้อหาและบทความ เป็นหลัก ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเลย ก็สามารถ สร้างBlog ขึ้นได้โดยวิธีการเข้าใจได้ไม่ยาก
- เว็บไซด์สำเร็จรูป มีทั้งแบบ เราสร้างเว็บเอง หรือ ไปขอใช้บริการแบบที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว ซึ่งในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึงแต่ เว็บไซด์สำเร็จที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว เพราะจะใกล้เคียงกับบริการของ Blog
- เว็บไซด์สำเร็จรูป ที่นิยม จะเป็นในรูปแบบเปิดร้านค้าออนไลน์ (Online Shopping, Instant Online Store) ซึ่งจะมีระบบที่สนับสนุนกับการทำ E-Commerce รองรับในตัว เช่น ตะกร้าสินค้า, เว็บบอร์ด ในขณะที่ Blog จะไม่มี
- ดังนั้นในการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้น เว็บไซด์สำเร็จรูปจะเหมาะสำหรับ ร้านที่มีสินค้าขายเป็น ชิ้นๆ ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควรในระดับหนึ่ง ... ในขณะที่ Blog จะเหมาะสำหรับร้านที่มีสินค้าตั้งขายจำนวนน้อย 
- Blog จะเหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นให้บริการเป็นหลัก หรือธุรกิจแบบมีร้านค้าจริงๆ เพื่อแนะนำร้านสถานที่ตั้งร้าน นำเสนอและโปรโมทสินค้าบริการต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่เว็บไซด์สำเร็จรูปแบบร้านค้าออนไลน์นั้นจะเหมาะสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ (Products) ต่างๆมากกว่า Blog

Blog ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
- เขียนBlog เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ นำเสนอสิ่งที่ตนเองรู้ หรือสิ่งที่ตนเองสนใจ เพื่อแบ่งปันให้กับผู้อื่น
- สร้างBlog ทำเป็นเว็บไซด์เพื่อใช้ในการโปรโมทธุรกิจ ร้านค้า บริการต่างๆ
- ใช้Blog ในการทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce)
- นอกจากนี้ Blog ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่นิยมใช้กับเพื่อหารายได้จาก Internet Marketing

ข้อดีและข้อเสียของ Blog 
ข้อดี
- มีอิสระที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)
- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ

- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ 

- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทำให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้

เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ
- สามารถใช้ Blog ในการทำธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ

- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ 

- 
ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)
- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)

- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก


ข้อเสีย

- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สำเร็จรูป

- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว

- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทำผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส

ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)


Introduction to Blog
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=eLCRPddXTRk

What is a Blog 
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=pY-s3V6dwvk

การสร้างบล็อคอย่างง่าย
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=6_cwdxLbTSk&spfreload=5